ลอนดอน - แมนเชสเตอร์ และลิเวอร์พูล by บอ.บู๋
หน้า 1 จาก 1
ลอนดอน - แมนเชสเตอร์ และลิเวอร์พูล by บอ.บู๋
ขอบคุณ : Siamsport
ลอนดอนคือราชธานีของอังกฤษที่อุดมด้วยสโมสรฟุตบอลมากที่สุดในประเทศ ขณะที่แมนเชสเตอร์และนาทีนี้ก็สถาปนาตัวเองเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของแผ่นดินแซงหน้าเบอร์มิงแฮมเป็นที่เรียบร้อย
20 ปีแล้วนะครับที่แชมป์ฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษ เป็นสมบัติที่ผลัดกันชื่นชมของทีมจากลอนดอนและแมนเชสเตอร์เพียงแค่ 2 เมืองเท่านั้น!
แบล็คเบิร์น โรเวอร์สคือทีมจากนอกลอนดอน & แมนเชสเตอร์ ทีมสุดท้ายที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของเมืองหลวงลูกหนัง เมื่อ 1995
หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของทีมจาก 2 เมืองที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษ โดยหมุนเวียนกันอยู่แค่ 4 ทีมคือ ยูไนเต็ดกับซิตี้จากแมนเชสเตอร์ และเชลซีกับอาร์เซน่อลจากลอนดอน โดยนับตั้งแต่ "กุหลาบไฟ" ผงาดขึ้นมาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก เมื่อฤดูกาล 1994-95 พลพรรคปีศาจแดงสามารถกระชากแชมป์ได้อีกถึง 11 สมัย
เชลซีตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยจำนวน 4 สมัย
อาร์เซน่อล 3 สมัย
ส่วนแมนฯ ซิตี้เอาเงินท่านชีคแห่งอาบูดาบีไปซื้อแชมป์มาได้ 2 สมัย
สำหรับฤดูกาลนี้ที่มีทีท่าว่าจะห้ำหั่นกันอย่างถึงใจพระเดชพระคุณมากขึ้นบนอัตราความมันส์มากกว่า 80,000 ตีนถีบ ผิดกับฤดูกาลที่แล้วที่เชลซีนอนมาแบบม้วนเดียวจบ แต่คงหนีไม่พ้น 4 สโมสรระดับศักดินาจาก 2 เมืองใหญ่นี้อีกนั่นแหละ
เพียงแต่ตอนนี้ยังเร็วเกินกว่าที่จะมองออกว่าทีมใดจะพุ่งเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่ง
จ่าฝูงพรีเมียร์ลีกในปัจจุบันอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด หากย้อนกลับไปสักประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว สมัยยังมีผู้จัดการทีมชื่อ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่แชมป์พรีเมียร์ลีกถือเป็นของตาย เชื่อว่าบรรดาเด็กผีคงมั่นใจในระดับหนึ่งว่าทีมตัวเองมีโอกาสพุ่งชนความสำเร็จค่อนข้างสูง แต่คงไม่ใช่ตอนนี้ที่ถูกครอบงำด้วยปรัชญาการเล่นอันน่าเบื่อ
อาร์เซน่อลก็ยังผีเข้าผีออก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไหร่
แมนฯ ซิตี้ออกตัวอย่างเร็ว-แรงทะลุนรก กะซวกทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่สงสัยจะใช้ความเร็วเกินไปหน่อยจนเสียหลักชนเสาไฟฟ้า ทว่าในสายตาของผมพวกเขายังคงเป็นเต็งหนึ่ง
แชมป์เก่าอย่างเชลซีนี่แหละที่อาการหนักสุด เพราะอยู่ดีๆ ก็หลุดฟอร์มแบบไม่มีเหตุผลและไม่ต้องการความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น ว่าแล้วก็คิดในใจว่า "กูมาไม่น่ามาเตะที่เมืองไทยในช่วงปิดฤดูกาลเลย" 555
นอกจากจะขับเคี่ยวกันเองเพื่อแย่งแชมป์ ทั้ง 4 ทีมนี้คือตัวแทนในเวทีใหญ่ของยุโรปที่อังกฤษส่งเข้าประกวดอีกต่างหาก
เหมือนเรื่องบังเอิญ คือในรอบแบ่งกลุ่มทั้งแมนฯ ยูไนเต็ดและแมนฯ ซิตี้ กับเชลซีและอาร์เซน่อล จับคู่แข่งพร้อมกันในวันเดียวกัน คือทีมจากแมนเชสเตอร์ลงแข่งพร้อมกันวันหนึ่ง - ทีมจากลอนดอนก็ลงแข่งพร้อมกันอีกวันหนึ่ง
ที่แน่ๆ คือผลงานโดยรวมของตัวแทนจากอังกฤษในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกประจำฤดูกาลนี้ไม่ค่อยจะโสภาสถาพรสักเท่าไหร่
เกมแรกในรอบแบ่งกลุ่ม 2 ตัวแทนจากเมืองแมนทั้งสีแดงและสีฟ้าต่างพุ่งชนความปราชัยเหมือนกันทั้งคู่
ถัดมาอีกวันอาร์เซน่อลก็ออกไปเสียท่าให้ดินาโม ซาเกร็บ ส่วนชัยชนะของเชลซีที่มีเหนือทีมจากอิสราเอลถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานอยู่แล้ว
ในเกมที่ 2 ของรอบแบ่งกลุ่ม เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา 2 ตัวแทนจากราชธานีอังกฤษดันเสียหลักพร้อมกัน
โชเซ่ มูรินโญ่ กลับออกมาจากวังมังกร ถิ่นเก่าของตัวเองพร้อมกับความปราชัยของเชลซี
ทีมปืนโตแย่กว่า เพราะกล้าๆ แพ้โอลิมเปียกอสแบบคาบ้าน!
ด้วยเงื่อนไขของเวลา ผมส่งคอลัมน์นี้ก่อนทราบผลการแข่งขันของ 2 ตัวแทนจากแมนเชสเตอร์ เมื่อคืนวันพุธ เลยไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีอาเพศอะไรอีกหรือเปล่า
ถ้ามีอีกก็ไม่ธรรมดาแล้วล่ะ เรียกว่าเป็นปัญหาระดับประเทศเลยทีเดียว
มันเกิดนรกอะไรขึ้นกับพวกเขาทั้งที่ไม่นานมานี้มีอยู่ช่วงหนึ่งที่สโมสรฟุตบอลจากเกาะมหาสมบัติแทบไม่ต่างจากมหาอำนาจลูกหนังระดับทวีปยุโรป
โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2005 ที่ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยุโรปอย่างยิ่งใหญ่ที่อิสตันบูล
ปี 2006 อาร์เซน่อลผ่านเข้าชิงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ น่าเสียดายที่พ่ายบาร์เซโลน่าเพราะตัวผู้เล่นที่น้อยกว่า
ปี 2007 ลิเวอร์พูลทะลุไปถึงรอบชิงฯ อีกครั้ง คราวนี้ถูกเอซี มิลานถอนแค้นได้สำเร็จ
ปี 2008 สองทีมจากอังกฤษอย่างแมนฯ ยูไนเต็ดกับเชลซีเข้าชิงกันเองเป็นครั้งแรกในพงศาวดารลูกหนัง โดยผ่านเข้ารอบตัดเชือกพร้อมกันถึง 3 ทีม ก่อนปีศาจแดงจะคว้าแชมป์ได้สำเร็จ
ปี 2009 แชมป์เก่าอย่างแมนฯ ยูไนเต็ดก็ได้เข้าไปป้องกันแชมป์
ปี 2011 แมนฯ ยูไนเต็ดตะลุยไปถึงรอบชิงชนะเลิศอีกครั้ง โชคไม่ดีที่ต้องเจอทีมจากต่างดาว - เมกกะลูกหนังอย่างเวมบลีย์จึงกลายเป็นสถานที่ที่บาร์เซโลน่าใช้เปิดคลินิกสอนฟุตบอล
ปี 2012 เชลซีได้แชมป์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ช่วงเวลา 8 ปีนั้น (2005-2012) ตัวแทนจากเมืองหลวงลูกหนังโลกผ่านเข้าชิงชนะเลิศถึง 7 ครั้งด้วยกัน แม้จะได้แชมป์แค่ 3 ครั้ง ก็ถือว่าไม่เลวเลยนะครับ
อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานอันสูงส่งของพรีเมียร์ลีก
ทว่าหลังจากที่เชลซีบุกไปประกาศศักดาถึงถ้ำเสือเมื่อ 2012 กลับไม่เคยมีทีมจากอังกฤษที่ทะลุทะลวงไปถึงชิงชนะเลิศอีกเลย
ไกลสุดคือรอบตัดเชือก
หลังจากคว้าแชมป์พลพรรคสิงห์บลูส์ก็โดนถีบตกรอบแบ่งกลุ่ม (แต่ยังอุตส่าห์ได้แชมป์ยูโรปา ลีก) หลังจากนั้นอีกฤดูกาล (2013-14) ก็ทะยานไปถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนเสียท่าให้แอต.มาดริด เพราะดันทะลึ่งแพ้แบบคาบ้าน
ฤดูกาลที่แล้วก็ทำท่าว่าจะไปไกลนะครับ แต่มีอันต้องหยุดเส้นทางแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย เพราะปล่อยให้ทีมเยือนอย่างเปแอสเชแย่ง 2 ประตูที่สแตมฟอร์ด บริดจ์
อาร์เซน่อลจอดแค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายมา 5 ฤดูกาลติดต่อกัน
ทางด้านของแมนฯ ยูไนเต็ดหลังจากผ่านเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อ 2011 พวกเขาก็ไม่เคยเดินทางไปถึงรอบตัดเชือก แถมยังมีทั้งการตกรอบแบ่งกลุ่มและไม่ได้ไปเล่นอีกต่างหาก
หนักที่สุดคือแมนฯ ซิตี้ เพราะถ้าไม่ตกรอบแบ่งกลุ่มก็มักจะเด๊ดห่าแค่ 16 ทีมสุดท้าย ไม่เคยไปไกลมากกว่านั้น
แบบนี้หมายความว่าคุณภาพของทีมในอังกฤษห่วยลงหรือเปล่า?
จุดนี้น่าคิดนะครับ เพราะมันก็ทั้งใช่และไม่ใช่
หลายครั้งที่เหมือนถูกนรกโลกันตร์กลั่นแกล้ง
ยกตัวอย่างเช่นแมนฯ ซิตี้ที่มักจะถูกจับไปอยู่ในกลุ่มแห่งความตาย บางฤดูกาลอุตส่าห์กระเสือกกระสนดิ้นรนเข้ารอบน็อกเอาต์ได้สำเร็จก็มีอันต้องปะทะกับบาร์เซโลน่าซะอย่างนั้น!
เช่นเดียวกับอาร์เซน่อลที่ไม่เจอบาร์เซโลน่าก็บาเยิร์น มิวนิค จน อาร์แซน เวนเกอร์ อยากกระโดดเตะหน้าคนจับสลากประกบคู่
มันเป็นเรื่องของโชคดวงและเป็นเรื่องของจังหวะซะมากกว่า เพราะดันถูกจับไปเจอทีมที่แข็งแกร่งกว่าอย่างรวดเร็วเกินไปหน่อย
แต่บางครั้งมันก็อาจบ่งถึงคุณภาพที่ตกลงไปได้เหมือนกัน
เชลซีกับอาร์เซน่อลเมื่อฤดูกาลที่แล้วคือตัวอย่างที่ชัดเจนมาก เมื่อ 2 ทีมตัวแทนจากลอนดอนโดน 2 ทีมตัวแทนจากฝรั่งเศสอย่างเปแอสเชและโมนาโกเขี่ยตกรอบ ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบแท้ๆ
ฤดูกาลนี้ดูจะอุบาทว์กว่าด้วยซ้ำ เพราะแมนฯ ซิตี้ก็แพ้คาบ้าน อาร์เซน่อลก็แพ้คาบ้าน ตั้งแต่เกมแรกๆ ของรอบแบ่งกลุ่ม
ขอบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีต่อทีมจากอังกฤษเลยนะครับ เพราะค่าสัมประสิทธิ์มันกำลังลดลงเรื่อยๆ เหมือนค่าเงินบาทในรัฐบาลยุคลุงตู่ ยิ่งผลงานบัดซบมากเท่าไหร่ ค่าสัมประสิทธิ์ยิ่งลดลงมากเท่านั้น
ว่ากันว่าหากอาการยังไม่ดีขึ้น อาจเป็นได้ที่ในฤดูกาล 2017-18 ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกจะเหลือโควตาให้ทีมจากพรีเมียร์ลีกของอังกฤษแค่ 3 ทีมเท่านั้น!
วันก่อนหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งของอังกฤษทำสกู๊ปเรื่องนี้พลางตั้งหัวข้อว่า ลิเวอร์พูลอาจต้องเชียร์แมนฯ ยูไนเต็ดในแชมเปี้ยนส์ ลีกเป็นพิเศษ เพราะหากผลงานของตัวแทนจากพรีเมียร์ลีกยังย่ำแย่ต่อไป โควตาของทีมจากเมืองผู้ดีก็จะลดน้อยลง โอกาสของหงส์แดงก็จะน้อยลงตามไปด้วย
มิเท่านั้นยังมีการทำโพลสำรวจความเห็นของบรรดา "เด็กหงส์" ว่าพวกคุณอยากจะส่งใจไปช่วยคู่แค้นตลอดชาติอย่างแมนฯ ยูไนเต็ดในการศึกระดับทวีปรายการนี้หรือเปล่า?
ประมาณ 80% ตอบว่า "ช่างหัวมันซี่" โควตาน้อยลงก็ไม่เป็นไร - ไม่ได้ไปเล่นก็ไม่เดือดร้อนอะไร แต่ให้เชียร์คู่อริอย่างปีศาจแดง กูไปเป็นโจรโรคจิตขโมยกางเกงในผู้หญิงดีกว่า
อืมมมม...เข้าใจครับ - เข้าใจ
เพราะกลับกัน ถ้าไปถาม "เด็กผี" ก็คงจะได้คำตอบเดียวกันนั่นแหละ กองเชียร์ของ 2 ทีมนี้อารมณ์ประมาณตัวอิจฉาในละครน้ำเน่าของบางประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือถ้าฉันไม่ได้ดี แกก็อย่าหวังว่าจะได้ดี...อีนางสารภี
แต่ถ้าอาการของทีมจากอังกฤษในถ้วยใหญ่ยุโรปยังไม่ดีขึ้นและถูกลดโควตาลงจริงๆ ละก็
สงสัยลิเวอร์พูลจะต้องรอไปอีกนานเลยทีเดียว 555
"บอ.บู๋"
Bbmeetyou@yahoo.com
ลอนดอนคือราชธานีของอังกฤษที่อุดมด้วยสโมสรฟุตบอลมากที่สุดในประเทศ ขณะที่แมนเชสเตอร์และนาทีนี้ก็สถาปนาตัวเองเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของแผ่นดินแซงหน้าเบอร์มิงแฮมเป็นที่เรียบร้อย
20 ปีแล้วนะครับที่แชมป์ฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศอังกฤษ เป็นสมบัติที่ผลัดกันชื่นชมของทีมจากลอนดอนและแมนเชสเตอร์เพียงแค่ 2 เมืองเท่านั้น!
แบล็คเบิร์น โรเวอร์สคือทีมจากนอกลอนดอน & แมนเชสเตอร์ ทีมสุดท้ายที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของเมืองหลวงลูกหนัง เมื่อ 1995
หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของทีมจาก 2 เมืองที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษ โดยหมุนเวียนกันอยู่แค่ 4 ทีมคือ ยูไนเต็ดกับซิตี้จากแมนเชสเตอร์ และเชลซีกับอาร์เซน่อลจากลอนดอน โดยนับตั้งแต่ "กุหลาบไฟ" ผงาดขึ้นมาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก เมื่อฤดูกาล 1994-95 พลพรรคปีศาจแดงสามารถกระชากแชมป์ได้อีกถึง 11 สมัย
เชลซีตามมาเป็นอันดับ 2 ด้วยจำนวน 4 สมัย
อาร์เซน่อล 3 สมัย
ส่วนแมนฯ ซิตี้เอาเงินท่านชีคแห่งอาบูดาบีไปซื้อแชมป์มาได้ 2 สมัย
สำหรับฤดูกาลนี้ที่มีทีท่าว่าจะห้ำหั่นกันอย่างถึงใจพระเดชพระคุณมากขึ้นบนอัตราความมันส์มากกว่า 80,000 ตีนถีบ ผิดกับฤดูกาลที่แล้วที่เชลซีนอนมาแบบม้วนเดียวจบ แต่คงหนีไม่พ้น 4 สโมสรระดับศักดินาจาก 2 เมืองใหญ่นี้อีกนั่นแหละ
เพียงแต่ตอนนี้ยังเร็วเกินกว่าที่จะมองออกว่าทีมใดจะพุ่งเข้าเส้นชัยเป็นอันดับหนึ่ง
จ่าฝูงพรีเมียร์ลีกในปัจจุบันอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด หากย้อนกลับไปสักประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว สมัยยังมีผู้จัดการทีมชื่อ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่แชมป์พรีเมียร์ลีกถือเป็นของตาย เชื่อว่าบรรดาเด็กผีคงมั่นใจในระดับหนึ่งว่าทีมตัวเองมีโอกาสพุ่งชนความสำเร็จค่อนข้างสูง แต่คงไม่ใช่ตอนนี้ที่ถูกครอบงำด้วยปรัชญาการเล่นอันน่าเบื่อ
อาร์เซน่อลก็ยังผีเข้าผีออก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไหร่
แมนฯ ซิตี้ออกตัวอย่างเร็ว-แรงทะลุนรก กะซวกทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่สงสัยจะใช้ความเร็วเกินไปหน่อยจนเสียหลักชนเสาไฟฟ้า ทว่าในสายตาของผมพวกเขายังคงเป็นเต็งหนึ่ง
แชมป์เก่าอย่างเชลซีนี่แหละที่อาการหนักสุด เพราะอยู่ดีๆ ก็หลุดฟอร์มแบบไม่มีเหตุผลและไม่ต้องการความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น ว่าแล้วก็คิดในใจว่า "กูมาไม่น่ามาเตะที่เมืองไทยในช่วงปิดฤดูกาลเลย" 555
นอกจากจะขับเคี่ยวกันเองเพื่อแย่งแชมป์ ทั้ง 4 ทีมนี้คือตัวแทนในเวทีใหญ่ของยุโรปที่อังกฤษส่งเข้าประกวดอีกต่างหาก
เหมือนเรื่องบังเอิญ คือในรอบแบ่งกลุ่มทั้งแมนฯ ยูไนเต็ดและแมนฯ ซิตี้ กับเชลซีและอาร์เซน่อล จับคู่แข่งพร้อมกันในวันเดียวกัน คือทีมจากแมนเชสเตอร์ลงแข่งพร้อมกันวันหนึ่ง - ทีมจากลอนดอนก็ลงแข่งพร้อมกันอีกวันหนึ่ง
ที่แน่ๆ คือผลงานโดยรวมของตัวแทนจากอังกฤษในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกประจำฤดูกาลนี้ไม่ค่อยจะโสภาสถาพรสักเท่าไหร่
เกมแรกในรอบแบ่งกลุ่ม 2 ตัวแทนจากเมืองแมนทั้งสีแดงและสีฟ้าต่างพุ่งชนความปราชัยเหมือนกันทั้งคู่
ถัดมาอีกวันอาร์เซน่อลก็ออกไปเสียท่าให้ดินาโม ซาเกร็บ ส่วนชัยชนะของเชลซีที่มีเหนือทีมจากอิสราเอลถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานอยู่แล้ว
ในเกมที่ 2 ของรอบแบ่งกลุ่ม เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา 2 ตัวแทนจากราชธานีอังกฤษดันเสียหลักพร้อมกัน
โชเซ่ มูรินโญ่ กลับออกมาจากวังมังกร ถิ่นเก่าของตัวเองพร้อมกับความปราชัยของเชลซี
ทีมปืนโตแย่กว่า เพราะกล้าๆ แพ้โอลิมเปียกอสแบบคาบ้าน!
ด้วยเงื่อนไขของเวลา ผมส่งคอลัมน์นี้ก่อนทราบผลการแข่งขันของ 2 ตัวแทนจากแมนเชสเตอร์ เมื่อคืนวันพุธ เลยไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีอาเพศอะไรอีกหรือเปล่า
ถ้ามีอีกก็ไม่ธรรมดาแล้วล่ะ เรียกว่าเป็นปัญหาระดับประเทศเลยทีเดียว
มันเกิดนรกอะไรขึ้นกับพวกเขาทั้งที่ไม่นานมานี้มีอยู่ช่วงหนึ่งที่สโมสรฟุตบอลจากเกาะมหาสมบัติแทบไม่ต่างจากมหาอำนาจลูกหนังระดับทวีปยุโรป
โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2005 ที่ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยุโรปอย่างยิ่งใหญ่ที่อิสตันบูล
ปี 2006 อาร์เซน่อลผ่านเข้าชิงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ น่าเสียดายที่พ่ายบาร์เซโลน่าเพราะตัวผู้เล่นที่น้อยกว่า
ปี 2007 ลิเวอร์พูลทะลุไปถึงรอบชิงฯ อีกครั้ง คราวนี้ถูกเอซี มิลานถอนแค้นได้สำเร็จ
ปี 2008 สองทีมจากอังกฤษอย่างแมนฯ ยูไนเต็ดกับเชลซีเข้าชิงกันเองเป็นครั้งแรกในพงศาวดารลูกหนัง โดยผ่านเข้ารอบตัดเชือกพร้อมกันถึง 3 ทีม ก่อนปีศาจแดงจะคว้าแชมป์ได้สำเร็จ
ปี 2009 แชมป์เก่าอย่างแมนฯ ยูไนเต็ดก็ได้เข้าไปป้องกันแชมป์
ปี 2011 แมนฯ ยูไนเต็ดตะลุยไปถึงรอบชิงชนะเลิศอีกครั้ง โชคไม่ดีที่ต้องเจอทีมจากต่างดาว - เมกกะลูกหนังอย่างเวมบลีย์จึงกลายเป็นสถานที่ที่บาร์เซโลน่าใช้เปิดคลินิกสอนฟุตบอล
ปี 2012 เชลซีได้แชมป์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ช่วงเวลา 8 ปีนั้น (2005-2012) ตัวแทนจากเมืองหลวงลูกหนังโลกผ่านเข้าชิงชนะเลิศถึง 7 ครั้งด้วยกัน แม้จะได้แชมป์แค่ 3 ครั้ง ก็ถือว่าไม่เลวเลยนะครับ
อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานอันสูงส่งของพรีเมียร์ลีก
ทว่าหลังจากที่เชลซีบุกไปประกาศศักดาถึงถ้ำเสือเมื่อ 2012 กลับไม่เคยมีทีมจากอังกฤษที่ทะลุทะลวงไปถึงชิงชนะเลิศอีกเลย
ไกลสุดคือรอบตัดเชือก
หลังจากคว้าแชมป์พลพรรคสิงห์บลูส์ก็โดนถีบตกรอบแบ่งกลุ่ม (แต่ยังอุตส่าห์ได้แชมป์ยูโรปา ลีก) หลังจากนั้นอีกฤดูกาล (2013-14) ก็ทะยานไปถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนเสียท่าให้แอต.มาดริด เพราะดันทะลึ่งแพ้แบบคาบ้าน
ฤดูกาลที่แล้วก็ทำท่าว่าจะไปไกลนะครับ แต่มีอันต้องหยุดเส้นทางแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย เพราะปล่อยให้ทีมเยือนอย่างเปแอสเชแย่ง 2 ประตูที่สแตมฟอร์ด บริดจ์
อาร์เซน่อลจอดแค่รอบ 16 ทีมสุดท้ายมา 5 ฤดูกาลติดต่อกัน
ทางด้านของแมนฯ ยูไนเต็ดหลังจากผ่านเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อ 2011 พวกเขาก็ไม่เคยเดินทางไปถึงรอบตัดเชือก แถมยังมีทั้งการตกรอบแบ่งกลุ่มและไม่ได้ไปเล่นอีกต่างหาก
หนักที่สุดคือแมนฯ ซิตี้ เพราะถ้าไม่ตกรอบแบ่งกลุ่มก็มักจะเด๊ดห่าแค่ 16 ทีมสุดท้าย ไม่เคยไปไกลมากกว่านั้น
แบบนี้หมายความว่าคุณภาพของทีมในอังกฤษห่วยลงหรือเปล่า?
จุดนี้น่าคิดนะครับ เพราะมันก็ทั้งใช่และไม่ใช่
หลายครั้งที่เหมือนถูกนรกโลกันตร์กลั่นแกล้ง
ยกตัวอย่างเช่นแมนฯ ซิตี้ที่มักจะถูกจับไปอยู่ในกลุ่มแห่งความตาย บางฤดูกาลอุตส่าห์กระเสือกกระสนดิ้นรนเข้ารอบน็อกเอาต์ได้สำเร็จก็มีอันต้องปะทะกับบาร์เซโลน่าซะอย่างนั้น!
เช่นเดียวกับอาร์เซน่อลที่ไม่เจอบาร์เซโลน่าก็บาเยิร์น มิวนิค จน อาร์แซน เวนเกอร์ อยากกระโดดเตะหน้าคนจับสลากประกบคู่
มันเป็นเรื่องของโชคดวงและเป็นเรื่องของจังหวะซะมากกว่า เพราะดันถูกจับไปเจอทีมที่แข็งแกร่งกว่าอย่างรวดเร็วเกินไปหน่อย
แต่บางครั้งมันก็อาจบ่งถึงคุณภาพที่ตกลงไปได้เหมือนกัน
เชลซีกับอาร์เซน่อลเมื่อฤดูกาลที่แล้วคือตัวอย่างที่ชัดเจนมาก เมื่อ 2 ทีมตัวแทนจากลอนดอนโดน 2 ทีมตัวแทนจากฝรั่งเศสอย่างเปแอสเชและโมนาโกเขี่ยตกรอบ ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายได้เปรียบแท้ๆ
ฤดูกาลนี้ดูจะอุบาทว์กว่าด้วยซ้ำ เพราะแมนฯ ซิตี้ก็แพ้คาบ้าน อาร์เซน่อลก็แพ้คาบ้าน ตั้งแต่เกมแรกๆ ของรอบแบ่งกลุ่ม
ขอบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีต่อทีมจากอังกฤษเลยนะครับ เพราะค่าสัมประสิทธิ์มันกำลังลดลงเรื่อยๆ เหมือนค่าเงินบาทในรัฐบาลยุคลุงตู่ ยิ่งผลงานบัดซบมากเท่าไหร่ ค่าสัมประสิทธิ์ยิ่งลดลงมากเท่านั้น
ว่ากันว่าหากอาการยังไม่ดีขึ้น อาจเป็นได้ที่ในฤดูกาล 2017-18 ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกจะเหลือโควตาให้ทีมจากพรีเมียร์ลีกของอังกฤษแค่ 3 ทีมเท่านั้น!
วันก่อนหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งของอังกฤษทำสกู๊ปเรื่องนี้พลางตั้งหัวข้อว่า ลิเวอร์พูลอาจต้องเชียร์แมนฯ ยูไนเต็ดในแชมเปี้ยนส์ ลีกเป็นพิเศษ เพราะหากผลงานของตัวแทนจากพรีเมียร์ลีกยังย่ำแย่ต่อไป โควตาของทีมจากเมืองผู้ดีก็จะลดน้อยลง โอกาสของหงส์แดงก็จะน้อยลงตามไปด้วย
มิเท่านั้นยังมีการทำโพลสำรวจความเห็นของบรรดา "เด็กหงส์" ว่าพวกคุณอยากจะส่งใจไปช่วยคู่แค้นตลอดชาติอย่างแมนฯ ยูไนเต็ดในการศึกระดับทวีปรายการนี้หรือเปล่า?
ประมาณ 80% ตอบว่า "ช่างหัวมันซี่" โควตาน้อยลงก็ไม่เป็นไร - ไม่ได้ไปเล่นก็ไม่เดือดร้อนอะไร แต่ให้เชียร์คู่อริอย่างปีศาจแดง กูไปเป็นโจรโรคจิตขโมยกางเกงในผู้หญิงดีกว่า
อืมมมม...เข้าใจครับ - เข้าใจ
เพราะกลับกัน ถ้าไปถาม "เด็กผี" ก็คงจะได้คำตอบเดียวกันนั่นแหละ กองเชียร์ของ 2 ทีมนี้อารมณ์ประมาณตัวอิจฉาในละครน้ำเน่าของบางประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือถ้าฉันไม่ได้ดี แกก็อย่าหวังว่าจะได้ดี...อีนางสารภี
แต่ถ้าอาการของทีมจากอังกฤษในถ้วยใหญ่ยุโรปยังไม่ดีขึ้นและถูกลดโควตาลงจริงๆ ละก็
สงสัยลิเวอร์พูลจะต้องรอไปอีกนานเลยทีเดียว 555
"บอ.บู๋"
Bbmeetyou@yahoo.com
หน้า 1 จาก 1
Permissions in this forum:
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
|
|